วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561



สาธิตการเรียน เพียรแก้ปัญหา  ก้าวหน้าปฏิบัติ


การพัฒนาการศึกษาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติปีพุทธศักราช 2542 ได้กำหนดเนื้อหาสาระ เพื่อปฏิรูปการศึกษาของปวงชาวไทย โดยได้จัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยมีการเน้นฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาซึ่งกระบวนการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีความแตกต่างกันออกไป
 ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.2561 ได้มีการแข่งขันทักษะงานมหกรรมการศึกษาเอกชนประจำปี 2561 ณ สหกรณ์สุราษฎร์ธานีจำกัด โดยภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการที่มีความสอดคล้องกับวิธีการสอนในหลากหลายรูปแบบซึ่งการสอนแต่ละวิธีต่างก็มีความน่าสนใจเเละเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เข้าร่วมชมนิทรรศการด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้เลือกศึกษาวิธีการสอนที่ได้เล็งเห็นแล้วว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนต่อไปในอนาคตมา 3 วิธี ได้แก่ การสอนโดยการปฏิบัติ การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และ การสอนโดยการสาธิต






วิธีการสอนทั้ง 3 วิธีนี้ที่ได้กล่าวมาข้างต้นมีส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนของผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


1. วิธีการสอนโดยการปฏิบัติ (practice)  ผู้ศึกษาได้เลือกศึกษาโครงการพัฒนาสมองด้วยสองมือ จากปลายประสาทปลายนิ้ว นำสู่การสร้างรอยหยักในสมอง กับ SPORT STACKING COURSE ของโรงเรียนเทพมิตรศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการนี้จะฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยตรงโดยผ่านการลงมือปฏิบัติจริงด้วยกีฬาสแต็ค (sport stacking ) เป็นกีฬาเรียงแก้วพลาสติกซึ่งแก้วที่เรียนจะมีทั้งหมด 12 ใบ ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับกีฬาชนิดนี้โดยเฉพาะกีฬาสแต็คจะมีวิธีการเล่นทั้งแบบ Stack up คือ การเรียงขึ้น และการ Stack Down คือ การเรียงลง โดยผู้ที่เล่นกีฬาสแต็คจะมีชื่อเรียกกันว่า Stacker เวลาทำการแข่งขันจะใช้การตัดสินโดยดูจากกระบวนการเล่นที่ถูกต้อง และดูจากการทำเวลาในการเล่นที่เร็วที่สุด ถ้าหากผู้เล่นคนใดทำได้คนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ ซึ่งโครงการนี้จะเปิดสอนในระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ รางวัลเหรียญทอง ประเภท Double Cycle รุ่นอายุ 12 ปี (สถิติเป็นอะนดับที่ 4 ของโลก) กีฬาสแต็คจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและประสาทสัมผัสเช่น การฝึกปฏิภาณไหวพริบและการป้องกันโรคอัลไซเมอร์เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ เช่นฝึกให้ผู้เรียนมีความใส่ใจในสิ่งที่ทำและมีสมาธิมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการคิดวางแผนเพื่อพัฒนาตนเองเป็นต้น

2. วิธีการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based instruction) ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ สื่อ GIGO ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตัวต่อเพื่อการศึกษาที่นำมาบูรณาการกับการสอนแบบสะเต็มศึกษา (STEM) ดังนี้ สื่อ GIGO เป็นอุปกรณ์ที่สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็ม โดยให้นักเรียนคิดหาวิธีแก้ปัญหา ออกแบบ นวัตกรรมที่ต้องการสร้าง โดยเริ่มคิดด้วยวิทยาศาสตร์ นำความรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเครื่องกลและพลังงานมาใช้งาน ใช้คณิตศาสตร์อธิบายความสัมพันธ์ของอุปกรณ์ต่างๆ นำเทคโนโลยีต่างๆมาช่วยในการออกแบบแล้วสร้างเป็นชิ้นงานจริง หรือต้นแบบด้วยกระบวนการทางวิศวกรรม โดยจะช่วยให้ผู้เรียนมีความคิดวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหาได้ดี และยังช่วยส่งเสริมจินตนาการให้แก่ผู้เรียนได้อย่างดีเยี่ยม





3. วิธีการสอนโดยการสาธิต (Domenstration) ผู้ศึกษาได้ศึกษาการทำตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ โดยการทำปูนปลาสเตอร์นั้นครูผู้สอนจะมีการสาธิตวิธีการทำให้ผู้เรียนดูอย่างละเอียดก่อนตั้งแต่กรรมวิธีการเตรียมปูนปาสเตอร์ โดยนำปูนปลาสเตอร์ไปผสมน้ำแล้วนำไปใส่ในพิมพ์ที่ทำมาจากยางพารา เมื่อได้เป็นรูปทรงต่างๆแล้วจึงนำมาระบายสีให้มีสีสันสวยงามหลังจากที่ผู้สอนทำการสาธิตเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทำตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ด้วยตนเอง การสอนโดยการสาธิตนี้จะมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน และยังฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผลอีกด้วย
       



สรุป
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่านิทรรศการ 100 ปี การศึกษาเอกชน มุ่งมั่นเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย เป็นนิทรรศการที่มีประโยชน์แก่ผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงหลักการและวิธีการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน สามารถฝึกทักษะการแก้ปัญหา และให้ผู้เรียน ลงมือปฏิบัติได้ และที่สำคัญคือ สามารถเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนำวิธีการสอนนี้ไปประยุกต์และปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำความรู้และทักษะไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ






วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

6 ภัยใต้เสื้อผ้าที่สาวๆอาจเผลอมองข้าม

6 ภัยใต้เสื้อผ้าที่สาวๆอาจเผลอมองข้าม

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ใต้เสื้อผ้าของสาวๆ  ผู้หญิงมีตัวมหัตภัยที่อาจจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณอย่างไม่คาดถึง

สาวชุดชั้นในชุดชั้นในที่ถูกปรับสายจนรัดเนื้อดึงเกินไปจะไปรั้งช่วงไหล่  ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก  คนใส่อาจจะมีโรคปวดหัวเรื้อรัง  หรือเป็นไมเกรนตามมาต้องวิ่งหาหมอหาสาเหตุกันให้วุ่น  ทั้งๆ  ที่ต้นตอที่อยู่ใกล้ตัวแค้นี้เอง
จีสตริงกางเกงในจีสตริงเป็นกางเกงที่ไม่ควรใส่เลยสำหรับคนที่รักสุขภาพ  เพราะความสวยที่ได้ไม่คุ้มกับโรคร้ายๆ  ที่จะตามมา  เนื่องจากสายกางเกงในที่เล็กมากๆ  แต่รัดสุดๆ  จะไปทำให้เนื้อเยื้อบริเวณงามกันระคายเคืองหรือเสียดสีจนเป็นแผล  และถ้าดุแลความสะอาดไม่ดีพอ  น้องจุ๋มจิ่มของคุณก็อาจจะอักเสบ  ติดเชื้อต้องรักษากันใหญ่โต  ทั้งๆที่ต้นเหตุมาจากกางเกงตัวจิ๋วเดียว
บรารัดแน่นเกินไป
คนที่เลือกซื้อชุดชั้นในโดยคิดถึงแต่รอบอก  ลืมให้ความสำคัญกับรอบตัวจะมีปัญหานี้เพราะแรงกดที่รัดแน่นตลอดเวลาติดต่อกันนานๆ  จะไปทำร้ายต่อมน้ำเหลือง  ทำให้เลือดและน้ำเหลืองคั่งอยู่ข้างใน  จากนั้นสิ่งที่ตามาคือมะเร็งเต้านมที่สาวๆ  กลัวกันนัก  นอกจากนี้การใส่บราเล็กเกินไปยังจะทำให้ระบบหายใจติดขัด  เหนื่อยง่าย  หายใจได้ไม่เต็มปอด  เดินช้อปปิ้งไม่กี่กิโลก็หน้ามืดซะแล้ว
บราเนื้อแข่ง
เนื้อผ้าของเสื้อชั้นในควรจะลื่น  นิ่ม  ไม่ระคายเคืองต่อผิว  ถ้าหากใส่แล้วรู้สึกคันควนเลิกใส่เสื้อในตัวนั้นทันที  เพราะอาจจะยังซักไม่สะอาดหรือมีสารฟอกสีที่เป็นอันตรายตกค้างอยู่  และสำหรับผู้หญิงที่ชอบทาโลชั่นบำรุงผิวก็ควรงดทาบริเวณเต้านมด้วย  เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมหลังจากที่ใส่บราทับลงไป
ใสชุดชั้นในซ้ำ
ถึงแม้ว่าชุดชั้นในของคุณจะยังดูสะอาดดี  แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเชื้อโรค  หลังจากใส่มาแล้วทั้งวัน  โดยเฉพาะชุดชั้นในที่เปียกเหงื่อยิ่งอาจจะมีเชื้อรา  ทำให้อวัยวะเพศ  ขาหนีบ  ร่องก้นของคุณติดเชื้อได้ง่ายๆ
ใส่สเตย์ตลอกเวลาคนที่ใสเตย์รัดหน้าท้องจะรู้สึกได้เลยว่าหายใจไม่ค่อยออก  ยิ่งถ้าใส่ทุกวันจะเกิดการเจ็บป่วยตามาเป็นหางว่าว  โรคแรกที่มาแน่ๆ  ได้แก่โรคกระเพราะกับลำไส้  เพราะเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง  อาจจะท้องผูก  ระบบย่อยไม่ดี  เป็นโรคกระเพราะ  หรือมีแผลในกระเพราะจากนั้นจะมีโรคปวดหัว  กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรง  ปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ  เส้นเลือดอุดตัน  ระบบไหลเวียนโลหิตมีปัญหา  การใส่สเตย์จึงควรใส่เฉพาะจะเป็นจริงๆ  อย่างเวลาไปงานเลี้ยง  และพอกลับบ้านก็ควรรีบถอดออกให้เร็วที่สุด
ขอขอบคุณ  ที่มา : นิตยสาร Spicy

เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติสัญญาณเตือนภัยมะเร็ง

เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติสัญญาณเตือนภัยมะเร็ง

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประจำเดือน
ประจำเดือนปกติมีเดือนละครั้ง  แต่หากเดือนไหนมามากกว่าหนึ่ง  อีกทั้งยังมีเลือดออกมากผิดปกติหรือแม้แต่แค่กระปริกกระปรอยก็นั่งนอนใจไม่ได้  เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายอย่างมะเร็ง
                ประจำเดือน  หรือที่เรีกว่า “เมนส์”  เป้นภาวะตามธรรมชาติที่เกิดจากการหลุดของผนังมดลุกที่ไม่ได้มีกี่ปฏิสนธิซึ่งร่างกายก็จะขับออกมาทุกเดือน  โดยทั่วไปเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จะเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกอายุประมาณ 12 – 13 ปี  ปกติจะมาครั้งละไม่เกิน 7 วัน  ประจำเดือนจะมาเป็นประจำทุกรอบประมาณ 21 – 35 วัน  ก่อนจะเข้าสู้การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนประมาณอายุ 45 – 56 ปี
  • เลือดออกมากผิดปกติ
                  ตามปกติแล้วปรมาณของประจำเดือนที่ถุกขับออกมาในแตะเดือนนั้นจะไม่เท่ากัน  บางคนอาจจะมีประจำเดือนแค่ 3 วัน  วันแรกมาเล็กน้อย  วันที่สองมามาก  และวันที่สามก็มีจางๆ  แล้วหมดไป  หรือบางคนแจจะบอกว่าประจำเดือนมาที่ 5 – 6 วัน  กว่าที่จะจางและหมดไปก็ครบอาทิตย์นึงพอดี
                โดยทั่วไปในแต่ละวันประจำเดือนที่ถูกขับออกมาจะมีปริมาณอยู่ที่ 20 -80 ซีซี  หรือเฉลี่ยประมาณ 35 ซีซี  แต่ที่ดูเหมือนว่ามามาก  ก็เป็นเพราะว่าการขับออกมาของประจำเดือนจะเป้นลักษณะเหมือนน้ำหมด  ไม่ได้ไหลพรวดเดียวเหมือนที่เราเทน้ำ  แต่ประจำเดือนจะถูกขับออกมาทีละนิดอย่างสม่ำเสมอจนว่าจะหมดนั้นเอง
                แต่สำหรับบางรายที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ  มีเลือดออกจากช่องคลอดกระปริดประปรอย  หรือมากกว่าปกติก็สร้างกังวลใจให้คุรไม่น้อย  พาลคิดไปต่างๆ  นานกว่าจะเป้นโรคร้ายแรง
               อาการประจำเดือนมากมากปกติเกิดขึ้นไก้มาจากหลายสาเหตุ  อาจเกิดได้จากผลข้างเคียงของยาที่รับประทาน  การใช้ยาคุมกำเนิด  ความเครียด  หรือเกิดจากภาวะติดเชื้อ
อาการเลือดออกผิดปกติที่เกิดขึ้นจากมะเร็ง
                ถ้าผุ้หญิงมีอาการต่อไปนี้  นั้นคือสัญญาณอันตรายที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจเกิดจากมะเร็ง
  1. มีเลือดออกจากช่องคลอดกระปริกระปรอย  ทุกวันหรือวันเว้นวัน
  2. มีรอบเดือนประจำเดือนเร็วกว่า 21 วัน  คือ  นับจากวันที่เป้นครั้งแรก  ถ้าหากมีประจำเดือนอีกครั้ง  แต่ไม่ครบรอบ 21 วัน  นั้นก้แสดงว่าเกิดความผิดปกติกับอวัยวะภายใน
  3. มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือน  เช่น  รอบนี้เริ่มมาวันที่ 1 มกราคม  2551  มาทั้งหมด 4 วัน  รอบถัดไปเริ่มมาวันที่ 30 มกราคม 2551  มาทั้งหมด 4 วัน  แต่ในวันที่ 15 มกราคม 2551  มีเลือดออกมาอีก
  4. มีเลือดออกจากช่องท้องคลอดปริมาณมาก  มีลักษณะเป็นก้อน  ลิ่มเลือด  หรือใช้ผ้าอนามัยมากกว่าวันละ 5 ผืน
  5. มีเลือดออกหลังมีเพสสัมพันธ์
  6. มีเลือดออกหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว
สาเหตุของอาการเลือดออกผิดปกติได้แก่
  1. การมีเพศสัมพันธ์แล้วไม่ได้คุมกำเนิดจนเกิดการตั้งครรภ์แล้วมีภาวะแทรกซ้อน  เช่น  แท้งบุตร
  2. รับประทานยาบางชนิด  ที่มีส่วผสมของฮอร์โมนเพศหญิง  เช่น  กวาวเครือ  ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้
  3. ภาวะฮอร์โมนแปรปรวนในวัยที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือนหรือวัยใหล้หมดประจำเดือน  ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
  4. ภาวะฮออร์โมนแปรปรวนอันเนื่องมาจากความเครียด เช่น  ใกล้สอบ  นอนดึก  ทะเลาะกับแฟน  ก็เป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้
  5. เกิดการอักเสบและติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์สตรีเช่น  ปากมดลูก  หรือเยื่อบุโพรงมดลูก  ก็สามารถทำให้เกิดแผลแล้วมีเลือดออกได้
  6. มะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี  เช่น  มะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลุก  ก้เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติที่พบได้บ่อยเช่นกัน
                 ประจำเดือนออกมาผิดปกติ  ส่วนใหญ่แล้วมักพบว่าเป็นอาการนำของมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์  ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา  อาการอาจลุกลามรุงแรงได้ทั้งนี้  หากคุณเองเป็นอีกคนหนึ่งที่มทีปัญหาเลือดประจำเดือนออกมาผิกปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของความผิดปกติ
               โดยทั่วไปแพทย์จะซักถามประวัติจะซักถามประวัติสุขภาพทั่วไปของผุ้ป่วยในช่วงนี้  เช่น  ประวัติการกินยา  การคุมกำเนิดหลังจากนั้นก็จะทำการตรวจร่างกายไป  เช่น  วัดไข้  ความดันโลหิต  ตรวจภายในและตรวจหามะเร็งปากมดลุกไปพร้อมกัน  ในกรณีแพทย์ไม่สามารถหาข้อสรุปของอาการมีเลือดออกผิดปกติที่ปน่ชัดได้  อาจจะต้องทำการตรวจเลือดตรวจอัลตราชาวน์ด  หรือขูดมดลุกเพื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจวินิฉัยหาเซลล์มะเร็งต่อไป
                ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในอย่างอวัยวะสืบพันธุ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน  และไม่ควรนิ่งนอนใจ  เนื่องจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจมีการดำเนินการโรคมาแล้วระยะหนึ่งแล้วจึงสงสัญาณเตือนภัยให้คุณทราบ  การตรวจภายในประจำทุกปีก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการป้องกันจากฌรคร้ายเนื่องจากสามารถตรวจหาสาเหตุของโรคและตรวจหาชนิดของโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการ  และสามารถรักษาให้หายได้
            เมื่อร่างกายส่งสัญาณเตือนร้องขอการดูแล  แล้วคุณจะนิ่งนอนใจได้เชียวหรือ

การแก้ปัญหาอาการตกขาว

การแก้ปัญหาอาการตกขาว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาการตกขาว

อาการตกขาวเป็นอาการที่จะพบบ่อย  โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในรอบประจำเดือน  จะมีอาการน้ำสีขาวหรือว่าเหลืองออกมาตามช่องคลอด  โดยทั่วไปนั้นจะหายเองได้ในไม่กี่สัปดาห์  และหลายคนเองมักคิดว่าเป็นเรื่องปกติเนื่องจากในบางกรณีไม่มีกลิ่นและไม่มีอาการคัน  ไม่ระคายเคือง  จึงทำให้ไม่ได้สนใจ  ตามจริงแล้วเราควรปรึกษาแพทย์  เพราะการตกขาวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการตกขาว

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตเจน
  • การติดเชื้อในช่องคลอด จะทำให้น้ำที่ออกมาเป็นสีเหลืองหรือสีเขียวมีกลิ่นเหม็น
  • การดูแลช่องคลอดโดยไม่ถูกสุขลักษณะ
  • เกิดจากโรคต่างๆที่มีการส่งเสริมกัน อย่างเช่นโรคเบาหวาน  ความดัน  และเกิดจากอาการบาดเจ็บในช่องคลอดเอง
หากมีอาการตกขาวแล้วให้รีบปรึกษาแพทย์ไม่ควรปล่อยปะละเลยเพื่อหาคนทางแก้ไข  หรืออาจะแก้ปัญหาการตกขาวด้วยวิธีการทางธรรมชาติด้วยการแนะนำดังนี้  แต่ไม่ควรใช้กับคนที่ตั้งครรภ์สำหรับบางวิธี
  1. น้ำ การดื่มน้ำเองแค่นั้นล่ะ  การดื่มน้ำให้พอเหมาะอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ลดอาการตกขาวได้
  2. กล้วย กล้วยเป็นผลไม้ที่หาง่ายในบ้านเรา  เหมาะสมกับผู้ที่ตกขาวมาก  เพราะกล้วยช่วยให้ลดอาการตกขาว  และยังมีส่วนในการทำให้ผิวเราสวยขึ้นอีก  วิธีการเพียงกินกล้วยสุกวันละสองลูกในทุกๆวัน  จะลดอาการตกขาวได้
  3. กระเจี๊ยบ เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไป  สามารถช่วยในเรื่องตกขาวได้  โดยมีวิธีการดังนี้
  • ให้นำกระเจี๊ยบมา 100 กรัม ล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • ต้นให้เดือนด้วยน้ำ 1 ลิตร โดยต้มให้เดือนจนน้ำที่ต้มระเหยไปครึ่งหนึ่ง
  • แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ใช้ล้างช่องคลอดวันละ 3 ครั้ง  สามารถผสมกับน้ำผึ้งได้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  1. ทับทิม ทับทิมก็เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาอย่างยาวนานให้รักษาอาการตกขาวได้
    – ใช้เปลือกนำไปตากแดดให้แห้งบดเป็นผง  ใช้ประมาณ  1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำใช้ล้างที่ช่องคลอด
    – ใช้ทับทิมประมาณ 30 ใบ  ผสมกับพริกไทยดำเล็กน้อย  แล้วนำมาต้นน้ำให้เดือดนำมาล้างวันละ 2 ครั้ง
    – อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายมากก็คือการดื่มน้ำทับทิมอย่างสม่ำเสมอ  จะช่วยลดอาการตกขาวได้
  2. ใช้นำส้มสายชูผสมเล็กน้อยผสมกับกับน้ำ น้ำส้มสายชูจะช่วยปรับค่า PH  ให้กับผิวได้และด้วยช่องคลอดมีกรออ่อนๆอยู่แล้ว และยังเป็นยาที่ฆ่าเชื้อโรคได้  ลดกร่อนของอาการตดขาวได้  ด้วยการน้ำผสมกับน้ำ  น้ำส้มสายชู 1 ส่วน  และน้ำอีก 5 ส่วน  ใช้ล้างรอบๆ

ข้อแนะนำในการดูแลเพิ่มเติม

  • ล้างช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอโดยล้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่อ่อนๆ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังกายแบบเบาๆ  อย่างเช่นการเล่นโยคะ
  • ดื่มน้ำให้มากๆ จะช่วยขับสารพิษได้ดี
  • กางเกงในควรซักทำความสะอาดทุกครั้งและไม่ควรใส่กางเกงในที่คับเกินไป
  • หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอดต่างๆ
  • เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม  ชา  กาแฟ
  • ในการทำความสะควรทำความสะอาดด้านหลังมาด้านหน้าในการเข้าห้องน้ำ                                          ค้นหาเพิ่มเติมได้จาก :   http://www.krabork.com/2015/07/10/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7/#more-2835

สาธิตการเรียน เพียรแก้ปัญหา    ก้าวหน้าปฏิบัติ การพัฒนาการศึกษาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง...